ขันน็อตทั้งวัน ใช้ บล็อกลม คุ้มจริงไหม? ทำไมอู่ซ่อมรถถึงใช้กัน?
เวลาเดินเข้าอู่ซ่อมรถ หรือร้านยาง ร้านช่วงล่าง จะเห็นเลยครับว่าเครื่องมือที่ช่างใช้กันทุกวันมันไม่ได้มีแค่ประแจธรรมดา คุณจะเห็นปั๊มลม มีสายลม มีอะไรอะไรเต็มไปหมด แล้วที่ขาดไม่ได้เลยก็คือบล็อกลม ดูเหมือนจะยุ่งยากใช่ไหมครับ แต่ช่างส่วนใหญ่ก็เลือกใช้มันในการถอดน็อต อยู่ดี แล้วมันมีดีอะไรล่ะ?
บางคนอาจจะคิดว่าแค่ขันน็อต ใช้ประแจธรรมดาก็พอแล้ว ไม่ต้องลงทุนอะไรเยอะแยะ แต่ถ้ามองในมุมของคนที่ต้องทำแบบนี้ทุกวัน ขันน็อตทีละตัววันละหลาย ๆ รอบ คุณคจะรู้เลยว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวก แต่เป็นเรื่องของแรง เวลาที่เสียไป และความล้าในแต่ละวัน
ผมเองก็เคยเป็นคนนึงที่คิดว่าเครื่องมือแบบนี้น่าจะเหมาะกับอู่เท่านั้น แต่พอได้เห็นของจริง ก็เข้าใจเลยว่าทำไมช่างถึงยอมลงทุนกับบล็อกลม ไม่ใช่เพราะอยากดูเท่ครับ แต่มันช่วยให้ทำงานได้ไวขึ้น แรงไม่หมดเร็ว และที่สำคัญที่สุดคืองานออกมาดีขึ้นด้วย ลองคิดดูนะครับ ถ้าเราต้องขันน็อตทั้งวันด้วยแรงมือ จะขันไหวได้กี่วัน?
บล็อกลม คืออะไร?
พูดให้เข้าใจง่าย ๆ บล็อกลม ก็คือเครื่องมือที่อาศัยแรงอัดลมจากปั๊มลมมาเปลี่ยนเป็นแรงบิดในการขัน หรือคลายน็อต ช่างไม่ต้องออกแรงเอง ไม่ต้องบิดข้อมือ ไม่ต้องยืดตัวเกร็งหัวไหล่ ทั้งสะดวก และประหยัดเวลา ทำให้ช่างทำงานได้เร็วขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะเวลาถอดล้อรถ ถอดชิ้นส่วนช่วงล่าง หรืองานถอดหัวเครื่องก็ยังใช้ได้หมด
แต่ก็ต้องยอมรับว่าบล็อกลมเองก็ไม่ได้ใช้งานง่าย ๆ หรือเหมาะกับทุกคน นะครับยิ่งถ้าคุณไม่ได้อยู่ในวงการช่าง หรือมีอู่ของตัวเอง การจะซื้อบล็อกลมมาใช้อาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นนัก บางคนถึงกับตั้งคำถามว่า “คุ้มไหม?” ถ้าเราต้องลงทุนซื้อทั้งตัวปืน บล็อกลม ทั้งปั๊มลม สายลม หัวกรองน้ำมัน และอุปกรณ์จิปาถะอื่น ๆ อีกเพียบ ถ้าไม่ได้ขันทุกวัน ใช้งานเบา ๆ ซื้อมา แล้วจะคุ้มหรือเปล่า?
ลองมาคุยกันในมุมมองคนธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้เป็นช่างมือโปร แต่สนใจอยากรู้ว่าไอ้เจ้าบล็อกลมนี่มันคุ้มยังไง ทำไมอู่ถึงเลือกใช้กันแทบทุกที่ และมันเหมาะกับใครกันแน่?
ใช้งานขันน็อตทั้งวันแบบมือเปล่า ทำไมถึงไม่เวิร์ก?
ถ้าคุณไม่เคยต้องขันน็อตวันละเป็นสิบ ๆ ตัว คุณอาจจะยังไม่เข้าใจว่า การขันน็อตด้วยมือ มันเหนื่อยและเสียเวลาแค่ไหน ลองนึกภาพเวลาคุณต้องถอดล้อรถ 4 ล้อ ล้อนึงน็อต 5 ตัว เท่ากับ 20 ตัว แล้วคุณต้องใช้บล็อกมือขันเข้าออก นี่ยังไม่รวมว่าน็อตบางตัวแน่นมาก เพราะถูกขันด้วยแรงบิดจากเครื่องมือกำลังสูงจากโรงงาน ซึ่งแรงมือคนปกติธรรมดา ๆ ไม่มีทางสู้ได้แน่ ๆ
จริง ๆ ผมเองก็เคยใช้ประแจที่มีติดรถ ขันล้อรถยนต์ตัวเองตอนที่ยางรั่ว แค่ล้อเดียวเองนะครับ รู้เลยว่าต้องใช้แรงพอสมควร แถมยังต้องเท้าเหยียบเพื่อคลายน็อตด้วย ซึ่งเสี่ยงมาก ไม่แนะนำ พอมาเห็นช่างใช้บล็อกลม แค่ "ปึ้งเดียว" น็อตก็หลุดแล้ว รู้เลยว่าเครื่องมือพวกนี้มันออกแบบมาเพื่อทุ่นแรงคนโดยแท้
ถ้าคุณจะต้องทำงานกับน็อตตลอดทั้งวัน อย่างถอดล้อ เปลี่ยนโช๊ค ถอดเบรก ถอดเพลทต่าง ๆ ถ้าใช้มือขัน รับรองว่าแค่ครึ่งวันแรกก็เมื่อยจนอยากโยนบล็อกทิ้งแล้ว นี่ยังไม่รวมว่าถ้าใช้งานต่อเนื่องหลายชั่วโมง การใช้แรงมือซ้ำ ๆ อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เช่น เอ็นอักเสบ ปวดข้อ ปวดข้อมือ ซึ่งพอสะสมไปนาน ๆ มันไม่คุ้มกับสุขภาพเลยจริง ๆ
บล็อกลมช่วยอะไรได้บ้าง?
ก่อนจะไปดูว่าบล็อกลมมันทำอะไรได้บ้าง ลองนึกภาพเวลาต้องขันน็อตแน่น ๆ ทั้งวันดูนะครับ มือก็ล้า แขนก็เกร็ง แถมบางทีน็อตก็แน่นจนต้องออกแรงสุดตัว แบบนั้นถ้าไม่มีตัวช่วยดี ๆ ก็มีหวังหมดแรงก่อนงานจะเสร็จแน่ ๆ ซึ่งตรงนี้แหละที่บล็อกลมเข้ามาเป็นพระเอกของวงการ
หลายคนอาจยังไม่เคยใช้ ก็เลยไม่รู้ว่ามันช่วยประหยัดแรง ประหยัดเวลา และลดโอกาสเจ็บตัวจากการใช้แรงเยอะเกินไปได้แค่ไหน เดี๋ยวลองมาดูกันแบบชัด ๆ เลยครับ ว่าถ้ามีบล็อกลมแล้ว จะเปลี่ยนงานขันน็อตธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นได้ยังไง
1. ทุ่นแรงแบบเห็นผลทันตา
คุณไม่ต้องออกแรงหมุน ไม่ต้องเกร็งแขน ใช้แค่นิ้วเดียวกดไก ก็คลายน็อตแน่น ๆ ได้ในไม่กี่วินาที ยิ่งถ้าใช้งานทั้งวัน บล็อกลมจะช่วยลดภาระร่างกายได้เยอะมาก เหลือแรงไว้ทำงานอื่นได้เต็มที่ครับ เพราะทุกการยกแขน หมุนมือ ขันน็อต มันคือความล้าที่สะสมทั้งวันโดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว การที่เรามีเครื่องมือที่ทำให้ใช้แรงน้อยลงแต่ได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม หรือดีกว่าเดิม ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มกับร่างกายมาก ๆ เลยครับ
ไม่ใช่แค่เรื่องแรงเท่านั้นนะครับ บล็อกลมยังช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าน็อตที่ขันจะแน่นพอดี จะไม่หลวมจนทำให้หลุดเสียหาย หรือแน่นจนเกลียวหวานขันไม่ออก เพราะหลายบล็อกลมหลายรุ่นก็สามารถควบคุมแรงบิดได้ และใครที่ต้องทำงานกับชิ้นส่วนสำคัญอย่างล้อรถ ช่วงล่าง หรืออะไหล่เครื่องยนต์ จุดนี้ช่วยเซฟงานได้มากเลยครับ
สรุปเลยครับว่า สำหรับคนที่ต้องทำงานขันน็อตทุกวัน ฟังดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่พอได้ใช้บล็อกลมจริง ๆ จะรู้เลยว่ามันต่างจากการใช้มือขันเองเยอะมาก
ใช้แรงนิ้วน้อยมาก ไม่ต้องหมุน ไม่ต้องดึง
ลดอาการเมื่อยมือ เมื่อยแขน ในการใช้งานติดต่อกัน
ไม่ต้องงัด ไม่ต้องเหยียบบล็อกเสี่ยงเจ็บตัว
ขันน็อตได้แน่นพอดี ไม่ต้องกลัวเกลียวหวาน
2. ประหยัดเวลา เพิ่มผลลัพธ์ที่จับต้องได้
ช่างซ่อมรถจำนวนมากเลือกใช้บล็อกลมก็เพราะมันเร็วมากครับ จะถอดล้อ ขันน็อต เปลี่ยนโช๊ค หรือทำงานช่วงล่าง ถ้าใช้บล็อกมืออย่างเดิมต้องเสียเวลาหมุนเข้าออกทีละตัว บางครั้งยังต้องใช้แรงเยอะจนเสียเวลาตั้งลำอีกต่างหาก แต่พอเปลี่ยนมาใช้บล็อกลม ทุกอย่างก็จบในไม่กี่วินาที เหมือนมีผู้ช่วยอยู่ในมือเลยครับ
ในอู่ที่มีรถเข้าออกทั้งวัน ความเร็วของเครื่องมือหมายถึงการให้บริการที่ไวขึ้น ลูกค้ารอไม่นาน และช่างก็มีเวลาเหลือสำหรับตรวจเช็ก เก็บรายละเอียดงานมากขึ้น ทำให้ภาพรวมของงานดูเป็นมืออาชีพมากกว่าเดิม และที่สำคัญ คือรายได้ต่อวันสูงขึ้น ลองเทียบการถอดล้อด้วยบล็อกมืออาจใช้เวลา 1–2 นาทีต่อล้อ แต่บล็อกลมใช้ไม่ถึง 10 วินาที ถ้าวันหนึ่งต้องถอด 20 คัน ประหยัดเวลาไปหลายชั่วโมง เวลาที่เหลือนั่นแหละคือกำไรของอู่
ถอดล้อรถได้ภายในไม่กี่วินาที
ไม่ต้องใช้เวลาหมุนน็อตเข้า-ออกทีละตัว
ช่วยให้งานไหลลื่นในอู่ที่มีรถหลายคันต่อวัน
เพิ่มจำนวนงานที่ทำได้ในแต่ละวัน
ลูกค้าไม่ต้องรอนาน เพิ่มความประทับใจ
3. แรงบิดสูง ขันได้แม้น็อตแน่นจัด
น็อตบางตัวต่อให้ใช้แรงมือเต็มที่ก็ยังไม่ออกครับ โดยเฉพาะน็อตที่เจอสนิม น็อตที่ผ่านแรงกระแทกมาหนัก ๆ หรือน็อตที่ขันเกินแรงสเปกไว้จากโรงงาน บล็อกมือธรรมดาอาจทำอะไรไม่ได้เลย ยิ่งถ้าอยู่ในพื้นที่แคบที่งัดได้ลำบาก บอกเลยว่าเหนื่อยแน่นอน
บล็อกลมมีแรงบิดระดับหลายร้อยนิวตันเมตร บางรุ่นสำหรับงานหนักอาจทะลุพันนิวตันเมตรขึ้นไป ซึ่งมากพอจะคลายน็อตแน่นพวกนี้ได้แบบไม่ต้องพึ่งมือสองคนเลยครับ และที่สำคัญคือแรงกระแทกเป็นแบบเป็นจังหวะ ช่วยให้เกลียวไม่เสียหายอีกด้วย
ถอดน็อตที่เกลียวแน่น หรือมีสนิมได้ง่าย
ไม่ต้องพึ่งเท้าเหยียบ หรืองัดแรง ๆ
ปลอดภัยกว่าในงานที่ต้องการความแม่นยำ
ใช้งานได้แม้ในพื้นที่แคบหรือมุมอับ
เหมาะสำหรับงานหนัก เช่น รถบรรทุก ช่วงล่าง เครื่องยนต์ใหญ่น็อตขึ้นสนิม น็อตที่โดนขันแน่นเกินสเปกมาจากโรงงาน หรือแม้แต่น็อตที่มีรอยเกลียวเสีย – พวกนี้ถ้าใช้มือขันแทบเป็นไปไม่ได้ บล็อกลมมีแรงกระแทกสูงมาก ทำให้คลายน็อตพวกนี้ได้ง่ายขึ้น
4. ใช้งานต่อเนื่องได้ทั้งวัน ไม่ร้อน ไม่ร่วง
ถ้าใครเคยใช้ บล็อกไฟฟ้า มาก่อนจะรู้เลยครับว่าใช้งานหนัก ๆ ติดต่อกันไม่นาน ตัวเครื่องก็เริ่มร้อน หรือถ้าเป็นแบบไร้สาย แบตก็หมดไว ต้องคอยชาร์จใหม่ตลอด ซึ่งมันไม่สะดวกเลยโดยเฉพาะถ้าทำงานเป็นทีมในอู่ที่มีรถเข้าตลอดวัน
บล็อกลมตัดปัญหาเหล่านี้ได้หมดครับ เพราะมันไม่ได้พึ่งมอเตอร์ไฟฟ้า แต่ใช้พลังลมล้วน ๆ ทำให้ไม่ร้อน ไม่ต้องพักเครื่อง และไม่มีเรื่องของความจุแบตให้ต้องกังวลด้วย ขอแค่มีระบบปั๊มลมดี ๆ และลมแรงพอต่อเนื่อง คุณก็ใช้งานได้ทั้งวันแบบไม่มีสะดุดแล้วครับ
ไม่ร้อนแม้ใช้ตลอดวัน
ไม่มีแบตเตอรี่ ไม่ต้องชาร์จ
ไม่สะดุดระหว่างงานใหญ่หรืองานรีบ
เหมาะกับช่างที่ต้องทำงานต่อเนื่อง
ใช้ร่วมกับเครื่องมือลมอื่นในระบบเดียวกันได้: บล็อกลมไม่มีระบบมอเตอร์ไฟฟ้าที่ร้อนง่าย หรือต้องชาร์จแบตบ่อย ๆ คุณใช้ทั้งวันได้ต่อเนื่อง ขอแค่มีลมเพียงพอ เครื่องก็ทำงานได้เรื่อย ๆ
ทำไมอู่ซ่อมรถถึงเลือกใช้ บล็อกลม?
ถ้ามองผิวเผิน บล็อกลมดูเป็นเครื่องมือที่ต้องลงทุนมากกว่า มีทั้งปั๊มลม สายลม หัวกรอง อะไรหลายอย่างที่ดูยุ่งยาก แต่กลับกลายเป็นว่าอู่ทุกระดับ ตั้งแต่ร้านซ่อมเล็ก ๆ ไปจนถึงศูนย์บริการระดับจังหวัด ต่างก็ใช้กันเป็นมาตรฐาน แล้วมันเกิดจากอะไร?
ง่าย ๆ เลยครับ เพราะบล็อกลมไม่ได้แค่ช่วยให้การทำงานเร็วขึ้นครับ แต่มันยังเป็นตัวช่วยที่ทำให้อู่ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ไว้ใจได้ และคุมคุณภาพงานได้เสมอ ที่สำคัญคือมันช่วยประหยัดต้นทุนในระยะยาวแบบที่หลาย ๆ คนคาดไม่ถึง ลองดูเหตุผลแบบชัด ๆ ด้านล่างนี้ครับ:
ต้นทุนเครื่องต่อหน่วยงานต่ำ: บล็อกลมไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ไม่ต้องกลัวไฟตก ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเหมือนบล็อกไร้สาย ใช้ลมอย่างเดียว ถ้ามีปั๊มลมกลางอยู่แล้ว การเพิ่มบล็อกลมอีก 2–3 ตัวก็ไม่ต้องลงทุนเพิ่มมาก
ทนทาน ใช้งานหนักได้: บล็อกลมคุณภาพดีจะใช้งานติดต่อกันได้เป็นปี ๆ โดยไม่ต้องซ่อมหนัก แค่หยอดน้ำมันหล่อลื่นเป็นประจำ
เสียงช่วยเตือน: เสียงกระแทกของบล็อกลมอาจดูน่ารำคาญสำหรับคนนอก แต่ในอู่ นับว่าเป็นเสียงของความสำเร็จเลยก็ว่าได้ เสียงนี้ยังช่วยบอกว่ากำลังขันอยู่ ขันแน่น หรือยัง เป็นการสื่อสารภายในตัว แบบไม่ต้องพูดกันมาก
มีหัวบล็อกเฉพาะทางเยอะ: บล็อกลม มีหลายประเภท รองรับหัวบล็อกหลากหลายขนาด ตั้งแต่ 1/4 นิ้ว ไปจนถึง 1 นิ้ว เหมาะกับทั้งรถเก๋ง รถกระบะ ไปจนถึงรถบรรทุก
พูดง่าย ๆ ว่า บล็อกลมคือ เครื่องมือมาตรฐาน สำหรับอู่ซ่อมรถในยุคนี้เลยก็ว่าได้
แล้วคนทั่วไปล่ะ? ถ้าไม่ได้เป็นช่าง คุ้มไหม?
เอาจริง ๆ นะครับ ถ้าคุณไม่ได้ขันน็อตเป็นกิจวัตร หรือไม่ได้ทำงานช่างทุกวันจริง ๆ การจะซื้อบล็อกลมมาใช้เองก็อาจจะไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ เพราะตัวเครื่องอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องมีองค์ประกอบอีกหลายอย่าง ทั้งอุปกรณ์เสริม และระบบลมที่ต้องพร้อมใช้งาน มันไม่ได้เหมือนกับการซื้อสว่าน แล้วเสียบปลั๊กใช้ได้ทันที
สำหรับคนที่แค่เปลี่ยนน็อตล้อรถปีละ 2–3 ครั้ง หรือซ่อมของนิด ๆ หน่อย ๆ ในบ้าน ผมว่าใช้บล็อกมือ หรือบล็อกไฟฟ้าแบบไร้สายจะสะดวกกว่าเยอะ ไม่ต้องมีปั๊มลม ไม่ต้องลากสาย ไม่ต้องตั้งระบบอะไรทั้งนั้น เอาออกมาแล้วใช้งานได้เลย ดูแลง่าย ประหยัดพื้นที่ และเหมาะกับการใช้งานตามโอกาสมากกว่า
แต่ถ้าคุณมีปั๊มลมอยู่แล้ว เช่น ใช้เป่าลม ใช้กับปืนพ่นสี หรือมีเครื่องมือลมอื่นอยู่ในระบบ ก็น่าคิดครับ เพราะลงทุนเพิ่มแค่ตัวบล็อกลมอย่างเดียวก็ใช้งานได้ทันที ไม่ต้องซื้อทุกอย่างใหม่ทั้งหมด
อุปกรณ์ที่ต้องมีประกอบกับบล็อกลม ได้แก่:
ปั๊มลมขนาดเหมาะสม (อย่างน้อย 50 ลิตรขึ้นไป)
สายลมคุณภาพดี ไม่รั่วซึม
หัวกรองลม-แยกน้ำมัน เพื่อถนอมเครื่อง
น้ำมันหล่อลื่นบล็อกลม
หัวบล็อกเฉพาะที่รองรับแรงกระแทก
ทั้งหมดนี้รวมกันแล้วก็หลายพันถึงหมื่นบาท และต้องมีพื้นที่เก็บ ต้องดูแลรักษา ยกเว้นว่าคุณมีระบบปั๊มลมอยู่แล้ว เช่น ทำงานในโรงงาน หรือมีอู่เล็ก ๆ ของตัวเอง แบบนั้นก็จะคุ้มครับ
แต่ถ้าแค่ต้องการขันน็อตล้อรถปีละ 2–3 ครั้ง ผมว่าซื้อบล็อกมือดี ๆ หรือบล็อกไฟฟ้าเล็ก ๆ มาใช้น่าจะตอบโจทย์กว่าเยอะ
สรุป: บล็อกลม คุ้มกับงานแบบไหน?
ในมุมมองของผม บล็อกลมคือเครื่องมือที่คุ้มมาก ถ้าคุณเป็นช่างมืออาชีพ เจ้าของอู่ หรือทำงานซ่อมรถหนัก ๆ เป็นประจำทุกวัน มันช่วยคุณได้จริงทั้งเรื่องแรง ประสิทธิภาพ และในระยะยาวยังลดความล้าของร่างกายอีกด้วย
แต่สำหรับคนทั่วไปที่แค่อยากมีเครื่องมือซ่อมภายในบ้าน หรือใช้เฉพาะกิจเป็นครั้งคราว อาจไม่คุ้มกับการลงทุนเท่าไหร่ อาจเลือกเป็นบล็อกไฟฟ้าไร้สาย หรือใช้บล็อกมือแบบมีก้านต่อช่วยแทนก็เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม บล็อกลมยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เปลี่ยนวงการช่างไปอย่างมาก ยิ่งกับอู่ซ่อมรถแล้วเนี่ย มันคือพระเอกในงานขันน็อตเลยก็ว่าได้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น