มือใหม่ต้องรู้ ใช้ ตู้เชื่อม อย่างไรให้ปลอดภัย และยืดอายุการใช้งาน ?
ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกเกี่ยวกับการใช้งานตู้เชื่อม ทั้งในแง่ของการตั้งค่าเบื้องต้น เช่น การเลือกใช้ไฟ AC หรือ DC การติดตั้งสายดิน การดูแลตัวเครื่อง ไปจนถึงข้อห้ามที่ไม่ควรทำเด็ดขาดหากไม่อยากให้ตู้เชื่อมเสีย หรือเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต มาดูกันว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
เข้าใจพื้นฐานของตู้เชื่อม ก่อนเริ่มใช้งาน
ตู้เชื่อมไฟฟ้าทำงานโดยการแปลงกระแสไฟฟ้าให้เป็นพลังงานความร้อน แล้วส่งผ่านลวดเชื่อมหรือหัวเชื่อมไปยังชิ้นงาน ทำให้โลหะละลายและหลอมติดกัน ซึ่งอุณหภูมิที่เกิดขึ้นนั้นสูงมาก อาจเกิน 3,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเพียงพอที่จะหลอมเหล็ก หรือสแตนเลสได้สบายๆ พลังงานที่สูงขนาดนี้ทำให้สามารถสร้างแนวเชื่อมที่แข็งแรงอย่างถาวรได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็แฝงมาด้วยความเสี่ยงเรื่องความร้อนสะสม และอันตรายจากไฟฟ้า
ดังนั้น หากคุณเป็นมือใหม่ การใช้งานตู้เชื่อมจึงไม่ควรเริ่มจากการเปิดเครื่องแล้วเชื่อมทันที แต่ควรเริ่มจากการเข้าใจในหลักการทำงานของตัวเครื่อง การเลือกชนิดของกระแสไฟฟ้าที่เหมาะสม การตั้งค่ากระแสให้สอดคล้องกับชนิดของลวดเชื่อม และความหนาของชิ้นงาน รวมถึงความเข้าใจเรื่องการควบคุมการอาร์ค (Arc Control) และการไหลของกระแสไฟที่เหมาะสม เพื่อให้ได้แนวเชื่อมที่เรียบ เนียน แข็งแรง และที่สำคัญปลอดภัยต่อทั้งตัวผู้ใช้ และเครื่องมือด้วย
ตั้งค่า AC / DC ให้เหมาะกับลักษณะงาน
AC (Alternating Current) คือกระแสไฟฟ้าที่ไหลสลับไปมา เป็นแบบเดียวกับที่ใช้ตามปลั๊กไฟบ้านทั่วไป เหมาะกับการเชื่อมอลูมิเนียมหรือโลหะบาง เพราะช่วยทำความสะอาดผิวโลหะไปในตัว ส่วน DC (Direct Current) คือกระแสไฟที่ไหลทิศทางเดียว ให้พลังนิ่ง ควบคุมง่าย จุดไฟไว และแนวเชื่อมลึก สวย เหมาะกับการเชื่อมเหล็กทั่วไป หากคุณเป็นมือใหม่หรือใช้งานทั่วไป แนะนำให้เริ่มต้นที่ DC ส่วน AC จะเหมาะกับวัสดุพิเศษอย่างอลูมิเนียม
หนึ่งในหัวใจสำคัญของตู้เชื่อมไฟฟ้า คือการเลือกใช้กระแสไฟให้ถูกประเภท โดยทั่วไปตู้เชื่อมจะรองรับทั้ง ACและ DC ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดี-ข้อจำกัดที่แตกต่างกัน และเหมาะกับวัสดุที่แตกต่างกันด้วย
การเลือกโหมด AC หรือ DC ขึ้นอยู่กับชนิดของโลหะที่ต้องการจะเชื่อม รวมถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น ความลึกของแนวเชื่อม ลักษณะผิวงาน และการควบคุมความร้อนในจุดเชื่อม เช่น งานอลูมิเนียมที่ต้องการการทำความสะอาดผิวก่อนเชื่อมควรใช้ AC ขณะที่งานเหล็กทั่วไปที่ต้องการแนวเชื่อมลึก ใช้ DC จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า การเข้าใจธรรมชาติของกระแสไฟทั้งสองแบบจะช่วยให้สามารถเลือกใช้งานตู้เชื่อมได้เต็มประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงของแนวเชื่อมที่หลุด ลอก หรือแตกร้าวภายหลังการใช้งาน
AC (Alternating Current):
เหมาะกับงานเชื่อมโลหะบาง เช่น อลูมิเนียมหรือแมกนีเซียม
ใช้ในกรณีที่ต้องการทำความสะอาดผิววัสดุไปในตัว เพราะกระแส AC จะสลับขั้ว ทำให้กำจัดออกไซด์บนผิวโลหะได้ดี
ความร้อนกระจายตัวได้ทั่วแนวเชื่อม
DC (Direct Current):
เหมาะกับงานเชื่อมเหล็กทั่วไป เหล็กหล่อ สแตนเลส และโลหะไร้สนิม
ให้แนวเชื่อมที่ลึก และแม่นยำกว่า
จุดอาร์คง่าย ไม่กระเด็นเยอะ ช่วยให้งานเรียบร้อย
ข้อแนะนำ:
หากเป็นงานทั่วไป ใช้กระแส DC จะควบคุมง่ายกว่า และเหมาะกับมือใหม่
ถ้าเชื่อมอลูมิเนียม ให้ตั้ง AC และใช้หัวเชื่อม TIG ที่มีระบบ HF Start จะช่วยให้เชื่อมติดง่าย
การติดตั้งสายดินให้ถูกต้อง
สายดินเป็นส่วนสำคัญที่หลายคนมองข้าม ทั้งที่จริง ไ แล้วคือหัวใจหลักของความปลอดภัย และช่วยให้วงจรการเชื่อมสมบูรณ์ แนวเชื่อมติดแน่นขึ้น และช่วยลดปัญหากระแสไฟฟ้ารั่ว หรือการลัดวงจร โดยทั่วไป สายดินของตู้เชื่อมจะเป็นสายไฟหนาที่มีแคลมป์โลหะอยู่ปลายสาย สำหรับหนีบติดกับชิ้นงานโดยตรง หรือกับโต๊ะเหล็กที่ทำหน้าที่เป็นฐานเชื่อม จุดเชื่อมต่อนี้จะทำให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลจากหัวเชื่อมสามารถวิ่งกลับเข้าสู่ตู้เชื่อมได้อย่างปลอดภัย หากไม่มีการต่อสายดินที่ดี กระแสไฟจะไหลไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้แนวเชื่อมขาด หรือทำให้เกิดไฟย้อนที่เป็นอันตรายถึงตัวผู้ใช้งานได้
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสายดินแน่นพอ ไม่มีสนิมหรือคราบสกปรก
หนีบสายดินให้แนบกับชิ้นงานโดยตรง ไม่หนีบผ่านโต๊ะเหล็กที่ไม่สะอาด หรือผ่านโลหะชิ้นอื่น
ใช้สายดินขนาดใหญ่พอ และอยู่ในสภาพดี ไม่มีสายหักหรือฉนวนขาด
หมั่นตรวจสอบตำแหน่งสายดินระหว่างทำงาน หากหลุดหรือคลาย อาจทำให้แนวเชื่อมสะดุด
วิธีใช้งานตู้เชื่อมอย่างปลอดภัย
เมื่อเริ่มใช้งานตู้เชื่อม คุณจะต้องมีการต้องเตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน ทั้งในแง่เครื่องมือ อุปกรณ์ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมโดยรอบ เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าช็อต ไฟไหม้ หรือแม้แต่การบาดเจ็บจากการกระเด็นของสะเก็ดไฟ
สิ่งที่ควรทำ:
ตรวจสอบสายไฟทุกเส้นก่อนเปิดเครื่อง ว่าสภาพดี ไม่มีรอยแตกหรือฉีกขาด
สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากเชื่อม, ถุงมือหนัง, เสื้อกันสะเก็ดไฟ, รองเท้าเซฟตี้
ตรวจสอบตำแหน่งสายเชื่อม สายไฟ และสายดิน ให้อยู่ห่างจากน้ำ หรือพื้นที่เปียก
ตั้งค่ากระแสไฟให้เหมาะสมกับขนาดของลวดเชื่อม และชิ้นงาน
พักเครื่องเมื่อรู้สึกว่าเครื่องเริ่มร้อนผิดปกติ หรือได้ยินเสียงผิดปกติจากภายใน
สิ่งที่ไม่ควรทำโดยเด็ดขาดในการใช้งานตู้เชื่อม
เพื่อความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของตู้เชื่อม มีบางพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เครื่องพังเร็ว หรือเกิดอันตรายต่อผู้ใช้งานได้
ห้ามทำสิ่งเหล่านี้เด็ดขาด:
ไม่ต่อสายดิน: เป็นข้อผิดพลาดที่อันตรายมาก เพราะจะทำให้ไฟย้อนกลับมาที่ตัวเครื่องหรือผู้ใช้งาน
เชื่อมใกล้ของติดไฟง่าย: เช่น ถังน้ำมัน เศษกระดาษ ผ้าขี้ริ้ว
ปรับกระแสไฟแรงเกินความจำเป็น: อาจทำให้ลวดละลายเร็วเกินไป แนวเชื่อมไหม้ หรือแม้แต่ทำให้หม้อแปลงภายในช็อต
ปล่อยให้เครื่องร้อนเกินไป: โดยเฉพาะรุ่นที่ไม่มีระบบตัดความร้อนอัตโนมัติ การฝืนใช้งานต่อไปอาจทำให้วงจรไหม้ได้
ไม่สวมหน้ากากเชื่อม: แสงอาร์คจากการเชื่อมสามารถทำลายดวงตาได้ภายในไม่กี่วินาที
วางตู้เชื่อมไว้ในที่อับ: เช่น ในห้องไม่มีการระบายอากาศ หรือมีฝุ่นเยอะ เพราะจะทำให้ระบบระบายความร้อนทำงานได้ไม่เต็มที่
การดูแลตู้เชื่อมให้ใช้งานได้นาน
การดูแลรักษาตู้เชื่อมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งานได้หลายปี และยังช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายซ่อมหรือเปลี่ยนเครื่องใหม่ด้วย
แนวทางดูแลรักษาตู้เชื่อม:
ทำความสะอาดตัวเครื่องหลังใช้งานทุกครั้ง ไม่ให้ฝุ่นเข้าไปในช่องระบายอากาศ
หลีกเลี่ยงการวางตู้เชื่อมไว้ในที่ชื้น หรือใกล้แหล่งน้ำ
ตรวจเช็คสายไฟ สายเชื่อม สายดิน ว่าอยู่ในสภาพดี ไม่มีรอยไหม้ หรือบิดเบี้ยว
เป่าฝุ่นภายในเครื่องด้วยลมแรงต่ำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันฝุ่นสะสมในแผงวงจร
หากไม่ได้ใช้งานนานเกิน 1 เดือน ควรเปิดเครื่องทิ้งไว้สัก 5-10 นาทีเดือนละครั้ง เพื่อไล่ความชื้นภายใน
สรุป
ตู้เชื่อม เป็นเครื่องมือที่ให้ประสิทธิภาพสูง แต่ก็ต้องการความเข้าใจในการใช้งานที่ถูกต้อง และการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมจึงจะใช้งานได้นานและปลอดภัยที่สุด ตู้เชื่อมที่มีพลังความร้อนสูงระดับนี้ หากใช้งานโดยขาดความรู้ อาจไม่เพียงแค่ทำให้แนวเชื่อมเสียหาย หรือไม่ติดเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่ออุบัติเหตุร้ายแรงได้ด้วย ดังนั้นผู้ใช้งานทุกระดับไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ หรือมืออาชีพ ควรศึกษา และฝึกฝนการใช้งานตู้เชื่อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีวินัยในการดูแลเครื่องมืออย่างสม่ำเสมอ
อย่ามองข้ามรายละเอียดเล็ก ๆ เช่น การตั้งค่า AC/DC ที่เหมาะสมกับวัสดุ การต่อสายดินอย่างถูกต้อง การใช้ตู้เชื่อมในพื้นที่ที่ระบายอากาศได้ดี และการตรวจสอบอุปกรณ์ก่อนใช้งานทุกครั้ง เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบเล็ก ๆ ที่มีผลต่อทั้งคุณภาพของงานเชื่อม และความปลอดภัยในการใช้งานอย่างยิ่ง
สุดท้าย ตู้เชื่อมที่ดี ไม่ใช่แค่เครื่องที่เชื่อมได้แรง แต่ต้องเป็นเครื่องที่ใช้งานแล้วรู้สึกมั่นใจทุกครั้งที่เปิดเครื่อง และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ไม่เสียกลางงาน ไม่ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายซ่อมแซม หรือเปลี่ยนใหม่ก่อนเวลาอันควร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น